Monday, December 8, 2008

*More than words - - ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว


ก่อนเราจะพูดอะไรออกมาสักคำ ใช้เวลากลั่นกรองผ่านสมองสั้นยาวแค่ไหน
เคยสังเกตตัวเองมั้ยคะ?

1-2 เดือน
เรียนรู้ความหมายของคำแรกที่พ่อแม่สอน และพูดออกมาในที่สุด "มะ!"

15 นาที
ยืนบิดตัวเป็นเกลียว สมองหมุนตื้อเมื่อครูบอกให้พูดหน้าชั้น ก่อนที่เสียงปลายสั่นๆ จะหลุดออกมาจากปาก "สวัสดีคุณครูและเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกคน.."

7 นาที
เดินขาแทบขวิด ท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว มือไม้เย็นเฉียบกำไมโครโฟนแน่นจนเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกันกับมือ เสียงหวีดหอนของไมค์หยุดเสียงปรบมือ คำแรกดังออกมาจากลำโพงมุมเวที "เพลงจงรักค่ะ.."

1 นาที
หลังต่อสู้กับผีเสื้อที่บินแตกกระเจิงอยู่ในท้อง ปากอ้าค้างโดยไม่รู้ตัว ตาสบตาคู่เบื้องหน้าที่จ้องรอคอย "เอ่อ...ขอไปด้วยคนได้มั้ยคะ?"

หรือ ...เพียงเศษเสี้ยววินาที
สวนกลับหลังหน้าสะบัดไปตามแรงมือ ตัวสั่นโยนโดยความสะเทือนใจ "ไปให้พ้น!!!"


ก่อนที่คำพูดอะไรจะออกจากปากของเรา มีเพียงเรากับพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่
จะคิด จินตนาการ วางแผน วาดฝัน คาดการณ์ ประเมินผล ใดๆ
ใครเลยจะล่วงรู้
ใครเลยจะทำอะไรเราได้
ถ้าเราเพียงแค่คิด แต่ไม่ได้ทำ
.. ก็เท่ากับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

หากแม้เพียงคำน้อยนิดหลุดพ้นจากริมฝีปากของเราไป
ใครก็ตามที่ได้ยิน ย่อมรับเข้าสู่กระบวนการประเมินผล
พูดสิ่งใด คนย่อมเข้าใจไปตามนั้น
คำพูดสื่อถึงเจตนา ความคิด สันนิษฐาน สัญญา การยอมรับ
บ่งบอกให้ผู้ฟังได้รับรู้ และเข้าใจว่าเป็นไปดังที่พูด
พูดไปแล้วทำตามที่พูด .. จัดได้ว่าเป็นคนจริง พูดคำไหนคำนั้น
แต่หากไม่ทำตามนั้นเล่า
... คงไม่พ้นถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิดคำพูด ไม่รักษาสัญญา
ไม่มีทางพลิกกลับเป็นความหมายที่ดีได้แน่

แม่ฉันสอนเอาไว้
"ก่อนพูด เราเป็นนายคำพูด หลังพูด คำพูดเป็นนายเรา"
จริงแท้ และแน่นอนที่สุด

ฉันรับฟังคำสอนของแม่ ใช้สติปัญญาพิจารณา และรับไว้ในสามัญสำนึก
ฉันสามารถพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นคนรักษาคำพูดอย่างยิ่งยวด
หากฉันไม่มั่นใจว่าจะทำได้อย่างที่พูด ฉันจะไม่พูดมันออกไป
หรือพูดออกไป โดยเน้นว่าความเป็นไปได้ที่จะทำได้สำเร็จตามที่พูดนั้นมีมากน้อยเพียงไร
และเมื่อฉันรักษาคำพูด ฉันจึง *หวัง* ว่าคนที่ฉันพูดคุยคบหาในชีวิตประจำวันจะเป็นเช่นนั้นด้วย
เปล่า.. ฉันไม่ได้บอกว่าฉันจะจับให้มั่นคั้นให้ตาย เพื่อให้คนใดคนหนึ่งรักษาคำอย่างที่พูดเอาไว้
หรือต่อว่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเมื่อใครไม่รักษาสัญญา

เหมือนที่ใครเคยพูดไว้..
เมื่อ *หวัง* .. ผลลัพธ์ก็มีเพียง 2 ทาง
.. ผิดหวัง หรือ สมหวัง

เมื่อใครก็ตามพูดอะไรเอาไว้
ฉันรับฟัง จำไว้ในหัวใจ และเฝ้ามอง รอคอย
ไม่เว้าวอน พร่ำบ่น ต่อว่า จิกถาม ว่าเมื่อไรจะทำตามที่พูด
.. แต่ฉันจะรอคอย ด้วยความอดทน
และเมื่อใครคนนั้น *ลืม* สิ่งที่ตัวเองได้พูดไปแล้ว
ปฏิกิริยาของฉันจะเป็นอย่างไร
ใช่แล้ว .. ฉันผิดหวัง

ผิดหวังแล้วทำยังไงต่อ?

โทษตัวเอง ที่รอคอยการกระทำจากคำพูดที่ผู้พูดเห็นเป็นเพียงลมปากแผ่วเบา
ทำความเข้าใจ อ๋อ.. เรามันเข้าใจผิดไปเอง คนพูดไม่ได้ใส่ใจกับอะไรอย่างนั้นเลย
เสียใจ ที่เลือกหวังกับผิดคน ผิดเวลา
ปรับใจ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็จงทำใจให้เคยชิน จะได้ไม่หลงไป *หวัง* อีก
และหากเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับคนใดคนหนึ่ง
.. ฉันจะเรียนรู้ที่จะ เลิก *หวัง*

ดูน่าเศร้าไปหน่อยใช่ไหม?

จงระวังคำพูดเอาไว้..
อย่าพูดอะไรออกไป โดยที่เราไม่ได้หมายความตามนั้นจริงๆ
ใครจะรู้ ว่าผู้ฟังตั้งใจฟังสารนั้นมากน้อยแค่ไหน ยึดถือคำมั่นเป็นสัญญาขนาดไหน
และคุณอาจไม่รู้ ว่าคำพูดนั้นส่งผลกับผู้ฟังสาหัสเพียงใด
.. หรือแม้แต่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง




Saying I love you
Is not the words I want to hear from you
It's not that I want you
Not to say, but if you only knew
How easy it would be to show me how you feel
More than words is all you have to do to make it real
Then you wouldn't have to say that you love me
'Cos I'd already know

What would you do if my heart was torn in two
More than words to show you feel
That your love for me is real
What would you say if I took those words away
Then you couldn't make things new
Just by saying I love you

More than words

Now I've tried to talk to you and make you understand
All you have to do is close your eyes
And just reach out your hands and touch me
Hold me close don't ever let me go
More than words is all I ever needed you to show
Then you wouldn't have to say that you love me
'Cos I'd already know

What would you do if my heart was torn in two
More than words to show you feel
That your love for me is real
What would you say if I took those words away
Then you couldn't make things new
Just by saying I love you

More than words


[credit: More Than Words - Eric Clapton]

No comments: